KKU Research Division

มข. ร่วมเสวนาพิเศษ “AI เกษตร x Aging Society” เปิดมุมมองใหม่สู่อนาคตเกษตรไร้แรงงาน ในงาน อว.แฟร์ 2025

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 – 11.00 น. คณาจารย์จากสาขาวิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้าร่วมเวทีเสวนาในหัวข้อ “AI เกษตร x Aging Society : ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี…แต่นี่คือไลฟ์สไตล์ใหม่ของเกษตรกรในอนาคตที่ไร้แรงงาน”ณ Mini Stage Zone B ภายในงาน อว.แฟร์ 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เวทีเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการประยุกต์ใช้ AI และเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เพื่อรับมือกับสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ได้แก่

  • รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์
  • รศ.ดร.กิตติพงษ์ ลาลุน
  • รศ.ดร.เจษฎา โพธิ์สม
  • ผศ.ดร.อาทิตย์ ภูผาผุด

โดยมี รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ และได้กล่าวถึง “การใช้ AI ในการเกษตรและผลกระทบต่อสังคมสูงวัยในประเทศไทย สิ่งที่น่ากังวลในตอนนี้คือประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในประเทศไทยมีมากกว่า 20% แล้ว คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำการเกษตร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคเกษตรกรรม เราจะรับมือและอยู่ร่วมกับ  AI, Ariculture และ Aging หรือว่า Triple Aนี้ได้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพจากการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สามารถยกระดับคุณภาพและผลผลิตทางการเกษตรได้

รศ.ดร.ขวัญตรี ได้สะท้อนมุมมองว่า การก้าวสู่สังคมสูงวัย ทำให้แรงงานภาคการเกษตรลดลงอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรจึงต้องปรับตัวจาก “ผู้ใช้แรงงาน” สู่ “ผู้จัดการฟาร์มยุคใหม่” ที่ใช้ดิจิทัลและ AI เป็นเครื่องมือสำคัญ หัวใจของการเปลี่ยนผ่านนี้อยู่ที่ Farm ERP หรือ ศูนย์กลางการจัดการฟาร์มพืชเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้เกษตรกรมีข้อมูลกลาง ใช้ร่วมกันได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสูตรปุ๋ย สูตรการผลิต ไปจนถึงโมเดลการจัดการที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกัน AI ยังช่วยในหลายมิติ ตั้งแต่การวางแผนลงทุน การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงระบบ โค้ชออนไลน์อัจฉริยะ (AI Consulting & Real-time Costing) ที่ให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีเสริม เช่น IoT เซ็นเซอร์ เครื่องมือวัด โดรน และภาพถ่ายดาวเทียม ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินสุขภาพพืช บอกโรค และช่วยตัดสินใจอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “วิถีชีวิตใหม่ของเกษตรกรในอนาคต” ที่เปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตไปสู่การเป็น Agri Service Provider หรือผู้ให้บริการทางการเกษตร ในลักษณะของ Sharing Economy ซึ่งเหมาะสมกับสังคมสูงวัยที่แรงงานกำลังหายไป

 

จากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับ Triple A โดยมีวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยน โดยวิทยากรอีก 3 ท่าน ดังนี้

ผศ.ดร.อาทิตย์ ภูผาผุด เปิดประเด็นด้วยการจัดการแปลงที่ดีจากการใช้ โดรนถ่ายภาพมุมสูงทางการเกษตร เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เพาะปลูกและประเมินความสมบูรณ์ของพืชผล 

โดยการพัฒนา AI มาช่วยวิเคราะห์ภาพถ่าย ซึ่งสามารถตรวจสอบความต้องการปุ๋ยของพืชได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการใช้วิธีการเก็บเกี่ยวแบบดั้งเดิมที่อาจส่งผลให้ขาดทุนและควบคุมต้นทุนได้ยาก

เทคโนโลยีภาพถ่ายจากโดรนยังช่วยเกษตรกรคาดการณ์ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวได้เหมาะสม วางแผนการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ รวมถึงระบุพื้นที่ที่ต้องการปุ๋ยอย่างจำเพาะเจาะจง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

หากมีการบูรณาการร่วมกับภาคเอกชนเพื่อพัฒนาระบบให้สามารถให้คำแนะนำเชิงลึกได้ ก็จะยิ่งช่วยยกระดับศักยภาพเกษตรกรไทยได้มากยิ่งขึ้น

พร้อมทิ้งประโยคเด็ดว่า “AI เปลี่ยนเหนื่อย…ให้เป็นคุ้ม” ถ้ามันมีอะไรที่มาแนะนำเราได้ แค่คลิกเดียว แต่สามารถทำงานได้ทั่งไร่ แล้วทำไมเราจะไม่เลือกทำ

รศ.ดร.เจษฎา โพธิ์สม กล่าวถึงแนวทางการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรด้วยการประยุกต์ใช้เซนเซอร์ เพื่อช่วยวิเคราะห์คุณภาพและคัดเกรดผลผลิตอย่างแม่นยำ โดยสามารถตรวจวัดความหวาน ระดับความสุกของผลไม้ หรือแม้กระทั่งปริมาณแป้งในหัวมันสำปะหลัง ซึ่งแตกต่างจากวิธีการคัดแยกแบบดั้งเดิมที่อาศัยแรงงานคนและใช้เกณฑ์รูปร่าง สี ขนาด หรือรสชาติ ที่อาจไม่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างครบถ้วน
เทคโนโลยีเซนเซอร์ที่วิจัยและศึกษาคือ NIR Sensor ที่ใช้วัดคุณภาพผลผลิตโดยไม่ทำลายตัวอย่าง ช่วยให้สามารถคัดแยกเกรดได้ตั้งแต่ต้นทาง เกษตรกรจึงสามารถจำหน่ายผลผลิตในหลากหลายระดับราคา แทนการขายแบบคละเกรดเพียงราคาเดียว นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้เพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ เช่น การตรวจวัดความหวานของอ้อย เพื่อใช้ปรับปรุงพันธุ์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น
การผสานการทำงานระหว่าง AI และเซนเซอร์ ไม่เพียงช่วยให้การผลิตมีความแม่นยำมากขึ้น แต่ยังตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุที่ลดภาระการใช้แรงงาน พร้อมเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร อีกทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับแปลงเกษตรกรและระดับอุตสาหกรรม

พร้อมทิ้งแนวคิดสำคัญว่า เราต้องอยู่ให้ได้ในยุคที่มี AI มันจะช่วยการทำงานด้านเกษตรกรรมของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น “AI…ทำน้อย แต่ได้มาก”

รศ.ดร.กิตติพงษ์ ลาลุน ได้กล่าวถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร โดยชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่หลายคนมองว่าไม่มีคุณค่า แท้จริงแล้วสามารถต่อยอดและสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในมิติของพลังงานชีวมวล ซึ่งประเทศไทยยังมีความต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังขาดความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงาน

ยกตัวอย่างกรณี ซากใบอ้อยที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มักใช้วิธีเผาทำลาย ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปัจจุบันได้มีการนำ ระบบ Farm ERP และเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการ เพื่อต่อยอดซากใบอ้อยให้สามารถอัดเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลได้ รวมถึงการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีไบโอชาร์ (Biochar) และถ่านอัดแท่ง ที่ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนในภาคการเกษตร พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมและเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งที่เดิมถูกมองว่าเป็นเพียงของเหลือทิ้ง

รศ.ดร.กิตติพงษ์ ย้ำถึงโอกาสและความสำคัญของการประยุกต์ใช้ AI และนวัตกรรม ว่า “AI คือความท้าทายใหม่ ที่ไม่ได้มาแทนที่…แต่มาเติมเต็ม เพื่อให้สังคมเกษตรมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน”

และในช่วงสุดท้ายของการเสวนา รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ ได้สรุปภาพรวมของการเสวนาในวันนี้ว่า…จากทั้งหมดที่มาเล่าให้ฟังในวันนี้ AI ไม่ได้ทำให้เราตกงาน แต่เราแค่ต้องปรับตัวและตามให้ทัน ใช้ให้เป็น แล้วมันจะสามารถช่วยให้เราได้พัฒนางานด้านเกษตรและเป็นเครื่องทุนแรงให้เราได้อีกมาก  “AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่เกษตรกร แต่เข้ามาเป็นผู้ช่วยสำคัญ ที่ทำให้การเกษตรในสังคมสูงวัยดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน”

KKU Research Sharing: